ชีวิตที่เฉิดฉายไฉไล ง่ายนิดเดียว
คงไม่แปลกที่ผู้หญิงทำงาน เลี้ยงตัวเองได้ด้วยสมองและสองมืออย่างเราๆ จะเริ่มต้นทำความรู้จักกันด้วยความเฉิดฉายไฉไล
คงไม่แปลกที่ผู้หญิงทำงาน เลี้ยงตัวเองได้ด้วยสมองและสองมืออย่างเราๆ จะเริ่มต้นทำความรู้จักกันด้วยความเฉิดฉายไฉไล ดิฉันมานั่งนับดูเล่นๆ ว่าชีวิตที่มันไฉไลนั้นมีอะไรบ้าง คำตอบที่ได้มีเพียงข้อเดียว คือ “ชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข” ฟังเหมือนคำตอบจะกว้างไป แต่ไม่ว่าอย่างไร “ความสุข” นั่นแหละ คือบทสรุปท้ายสุดจริงๆ ของความเฉิดฉายไฉไล
เราจะสุขไปกับอะไรได้บ้างล่ะ???
เราสามารถมีความสุขไปกับทุกสิ่งรอบ ตัวพวกที่ธรรมะ ธรรมโมหน่อย ก็อาจสุขไปกับการเข้าวัดเข้าวา ทำบุญทำทาน อิ่มเอิบใจจริงเชียว ส่วนพวกที่สวยใสหน่อยก็สุขกับใบหน้าที่เต่งตึงเพราะครีมตัวใหม่ที่เพิ่งสะบัดเงินเดือนซื้อมา พวกที่รักอาหารก็สุขไปกับการเข้าครัว ทำของอร่อยให้ตัวเองกับคนที่รัก หรือพวกที่มีเสน่ห์ไฉไลหน่อยก็อาจกำลังมีความสุขกับการสอยเบอร์ผู้ชายหุ่นเริ่ด หน้าตาดีมาได้ถึง 4 คน เมื่อคืนวันศุกร์...
แต่จะเป็นเพราะอะไรก็ตาม หากวันหนึ่งคุณตื่นขึ้นมาแล้วยิ้มกับตัวเองบนที่นอนได้เพียงแค่ 5 นาที ก็นับได้ว่าชีวิตของคุณเฉิดฉายไฉไลยิ่งแล้ว
เราสามารถมีความสุขไปกับทุกสิ่งรอบ ตัวพวกที่ธรรมะ ธรรมโมหน่อย ก็อาจสุขไปกับการเข้าวัดเข้าวา ทำบุญทำทาน อิ่มเอิบใจจริงเชียว ส่วนพวกที่สวยใสหน่อยก็สุขกับใบหน้าที่เต่งตึงเพราะครีมตัวใหม่ที่เพิ่งสะบัดเงินเดือนซื้อมา พวกที่รักอาหารก็สุขไปกับการเข้าครัว ทำของอร่อยให้ตัวเองกับคนที่รัก หรือพวกที่มีเสน่ห์ไฉไลหน่อยก็อาจกำลังมีความสุขกับการสอยเบอร์ผู้ชายหุ่นเริ่ด หน้าตาดีมาได้ถึง 4 คน เมื่อคืนวันศุกร์...
แต่จะเป็นเพราะอะไรก็ตาม หากวันหนึ่งคุณตื่นขึ้นมาแล้วยิ้มกับตัวเองบนที่นอนได้เพียงแค่ 5 นาที ก็นับได้ว่าชีวิตของคุณเฉิดฉายไฉไลยิ่งแล้ว
แล้วเราจะก่อความสุขให้ตัวเองได้อย่างไร
อุปสรรคที่ใหญ่ราวกับกำแพงอิสราเอล- ปาเลสไตล์ ที่กั้นกลางผู้หญิง (และผู้ชาย) หลายคนไม่ให้พบเจอกับความสุข ก็เพราะ.....เรา! มักจมอยู่กับความขี้อายและเคอะเขิน ไม่กล้าทำโน่นทำนี่ เพราะคิดว่าตัวเองสวยไม่พอ เก่งไม่พอ ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าใส่ชุดสวย ไม่กล้าเสนอไอเดียในที่ประชุม ไม่กล้าทำอะไรเลยยยย....
ทั้งที่จริงๆ แล้ว เราทุกคนต่างมีความสวย ความเก่ง และคุณค่าในตัวเอง ดิฉันขอย้ำว่า เราทุกคน !! และหากเรายังคงไม่เชื่อว่าเรามีคุณสมบัติอันเฉิดฉายนั้นอยู่จริง คนอื่นจะเห็นความเริ่ดของเราได้อย่างไร!!
เพราะฉะนั้นวิธีง่ายๆ ที่เราจะสร้างความสุขได้ก็คือ “สร้างความเชื่อมั่นให้ตัวเอง!!!” เราต้องเชื่อก่อน ตัวเราเป็นเหมือนดั่งทองทำที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่า แล้วรัศมีเหลืองทองของความงามในตัวเราจะเปล่งประกายออกมาให้ทุกคนเห็นเอ
อุปสรรคที่ใหญ่ราวกับกำแพงอิสราเอล- ปาเลสไตล์ ที่กั้นกลางผู้หญิง (และผู้ชาย) หลายคนไม่ให้พบเจอกับความสุข ก็เพราะ.....เรา! มักจมอยู่กับความขี้อายและเคอะเขิน ไม่กล้าทำโน่นทำนี่ เพราะคิดว่าตัวเองสวยไม่พอ เก่งไม่พอ ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าใส่ชุดสวย ไม่กล้าเสนอไอเดียในที่ประชุม ไม่กล้าทำอะไรเลยยยย....
ทั้งที่จริงๆ แล้ว เราทุกคนต่างมีความสวย ความเก่ง และคุณค่าในตัวเอง ดิฉันขอย้ำว่า เราทุกคน !! และหากเรายังคงไม่เชื่อว่าเรามีคุณสมบัติอันเฉิดฉายนั้นอยู่จริง คนอื่นจะเห็นความเริ่ดของเราได้อย่างไร!!
เพราะฉะนั้นวิธีง่ายๆ ที่เราจะสร้างความสุขได้ก็คือ “สร้างความเชื่อมั่นให้ตัวเอง!!!” เราต้องเชื่อก่อน ตัวเราเป็นเหมือนดั่งทองทำที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่า แล้วรัศมีเหลืองทองของความงามในตัวเราจะเปล่งประกายออกมาให้ทุกคนเห็นเอ
ความเชื่อ เท่านั้นที่จะทำให้ทุกอย่างสำเร็จได้ !
ดิฉันเคยดูสารคดีเรื่องหนึ่ง ชื่อว่า “ความเชื่อ” มีผู้ชายคนหนึ่งป่วยหนักมาก และแพทย์ก็บอกกับเขาว่า “ร่างกายของคุณอ่อนแอมาก คุณจะอยู่ได้อีกไม่นาน และกล้ามเนื้อขาที่กำลังเล็กลีบของคุณตอนนี้จะทำให้คุณไม่สามารถเดินได้อีกเลย” หากเป็นหลายคนคงหัวใจสลายหลุดหลุ่ยเป็นผุยผง แต่ไม่ใช่กับผู้ชายคนนี้ เขายังคงเชื่อ และความเชื่อนั่นเองที่เป็นเหมือนพลังของปาฏิหาริย์ เขาเชื่อว่าเขาจะมีชีวิตของเขาไม่ได้จบแค่นี้ แต่มันจะอยู่อีกนาน และเขาจะเดินไปโบสถ์ได้อีกครั้งในวันคริสมาสต์
ด้วยความเชื่อนั้น กลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ให้เขาลุกขึ้นมาหัดเดินทุกวัน แม้จะใช้ไม้เท้ายันเพราะกล้ามเนื้อไม่มีแรงพอจะรับน้ำหนัก แต่เขาก็ไม่เคยหยุดฝึกฝน และพลังนั่นเองที่ทำให้ร่างกายของเขาฟื้นคืน และแน่นอนว่า คริสต์มาสปีนั้น เขาเดินไปโปสถ์ด้วยตัวของเขาเอง ...
ดิฉันเคยดูสารคดีเรื่องหนึ่ง ชื่อว่า “ความเชื่อ” มีผู้ชายคนหนึ่งป่วยหนักมาก และแพทย์ก็บอกกับเขาว่า “ร่างกายของคุณอ่อนแอมาก คุณจะอยู่ได้อีกไม่นาน และกล้ามเนื้อขาที่กำลังเล็กลีบของคุณตอนนี้จะทำให้คุณไม่สามารถเดินได้อีกเลย” หากเป็นหลายคนคงหัวใจสลายหลุดหลุ่ยเป็นผุยผง แต่ไม่ใช่กับผู้ชายคนนี้ เขายังคงเชื่อ และความเชื่อนั่นเองที่เป็นเหมือนพลังของปาฏิหาริย์ เขาเชื่อว่าเขาจะมีชีวิตของเขาไม่ได้จบแค่นี้ แต่มันจะอยู่อีกนาน และเขาจะเดินไปโบสถ์ได้อีกครั้งในวันคริสมาสต์
ด้วยความเชื่อนั้น กลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ให้เขาลุกขึ้นมาหัดเดินทุกวัน แม้จะใช้ไม้เท้ายันเพราะกล้ามเนื้อไม่มีแรงพอจะรับน้ำหนัก แต่เขาก็ไม่เคยหยุดฝึกฝน และพลังนั่นเองที่ทำให้ร่างกายของเขาฟื้นคืน และแน่นอนว่า คริสต์มาสปีนั้น เขาเดินไปโปสถ์ด้วยตัวของเขาเอง ...
เช่นเดียวกับสาวๆ หากตอนนี้เรากำลังรู้สึกจิตตก และรู้สึกว่าเรากำลังไม่มีความสุข ก็ลองค้นหาความเชื่อของตัวเองเสีย ความเชื่อที่เชื่อว่าชีวิตเรามีคุณค่า ชีวิตเราเฉิดฉายและสวยงาม เราเป็นคนสวยที่เดินไปบนท้องถนนได้อย่างภาคภูมิ (ในที่นี้ผู้เขียนไม่ได้สนับสนุนให้หลงตัวเองนะยะแต่หมายถึงหากเราเชื่อมั่นในสิ่งใด แล้วสิ่งนั้นจะเป็นจริง ...เชื่อเถอะจ๊ะ)
เมื่อเราเชื่อตัวเราเองแล้ว ความสุขจะมาเคาะประตูเรียกเรา และนั่นแหละจะเรียกได้ว่าชีวิตเราเฉิดฉายไฉไลอย่างแท้จริง!
Story : ChicMinistry
ที่มาข้อมูล : www.chicministry.com
Subscribe by Email
Follow Updates Articles from This Blog via Email
No Comments